วันที่ 27 ก.ย. 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2566 ประกอบด้วย แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน 1,052,785.47 ล้านบาท, แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน 1,735,962.93 ล้านบาท และ แผนการชำระหนี้วงเงิน 360,179.68 ล้านบาท โดยประมาณ 80% ของแผนการก่อหนี้ใหม่ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2566 เป็นเงินกู้เพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ เช่น คมนาคม การศึกษาและวิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจและสังคม สาธารณูปการ และสาธารณสุข เป็นต้น โดยเป็นการดำเนินนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และรองรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่เกิดจากความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก ตลอดจนสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซียและยูเครน สำหรับแผนบริหารหนี้สาธารณะ ปีงบประมาณ 2566 ประกอบด้วย 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การก่อหนี้ใหม่ โดยส่วนใหญ่เป็นการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลปีงบประมาณ 2566 วงเงิน 695,000 […]
Tag: หนี้สาธารณะ
วันที่ 17 ก.พ.2565 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ชี้แจงประเด็นหนี้สาธารณะ ในการอภิปรายว่า รัฐจำเป็นต้องกู้เงินมาแก้ปัญหาวิกฤติโควิด-19 แต่ได้มีการปรับเพดานหนี้สาธารณะให้เป็นไปตามกรอบกฎหมายตลอดเวลา เพื่อรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ไม่ได้หมายความว่าปรับเพดานนี้แล้ว ต้องกู้ได้เพิ่มขึ้น แต่ปี2563-2564 มีวิกฤติโควิด กระทบจีดีพีของประเทศถึง 18% รายได้ตรงนี้หาย จึงต้องกู้มาแก้ปัญหามากว่าทุกครั้ง ทั้งนี้ทุกประเทศก็เจอภาวะหนี้เช่นนี้เหมือนกันหมด เพราะโควิด-19 กระทบกับภาคธุรกิจด้านการท่องเที่ยว โรงแรมและสิ่งอื่น แต่รัฐบาลปรับโครงสร้างหนี้ตลอดเวลา บางรายการมีการชำระหนี้ก่อนกำหนด เราให้เอกชนมาลงทุนกับรัฐบาลทั้งเรื่องการแพทย์และการสาธารณสุข เพื่อกระตุ้นจีดีพีให้ขายตัว เพื่อให้มีการนำเงินไปชำระหนี้เงินต้น และดอก เพื่อให้หนี้ลด แต่จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เรายังไม่ได้จัดให้ตรงนี้เท่าที่ควร เพราะต้องนำเม็ดเงินไปใช้จ่ายแก้ปัญหาโควิด ยอดหนี้สาธารณะที่เกิดขึ้นแบบกระโดดสูงนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่เกิดจากกรณีที่มีวิกฤติเท่านั้น
วันที่ 23 ก.ย. 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาลถึงการปรับเพดานหนี้สาธารณะเป็น 70% ของจีดีพี ว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงอย่างชัดเจนแล้วว่า การเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะเป็น 70% ของจีดีพีเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่ทางการคลังอีก 10% ทำให้รัฐบาลสามารถก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้อีก 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลจะต้องกู้เพิ่ม เพราะต้องดูความจำเป็นในการพัฒนาประเทศเพื่อแก้ปัญหาวิกฤต โควิด-19 เท่านั้น ทั้งนี้ จะเป็นการทยอยกู้ ไม่ได้กู้ครั้งเดียว โดยความเห็นส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยกับรัฐบาล เช่น ทีดีอาร์ไอ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มองว่าเป็นการเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล เพื่อฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และขณะนี้ยังมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการคลังในระดับต่ำ นอกจากนี้ ยังได้รับการตอบรับจากภาคเอกชน เช่น ประธานหอการค้าไทย ประธานสภาอุตสาหกรรม และนักธุรกิจในภาคเอกชน
วันที่ 21 ก.ย. 2564 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า การปรับกรอบเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มอีก 10% เป็น 70% จากปัจจุบันอยู่ที่ 60% นั้น จะทำให้รัฐบาลมีความสามารถในการก่อหนี้เพิ่มได้อีก 1.2 ล้านล้านบาท แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อมีช่องแล้วรัฐบาลจะเดินหน้ากู้เงินตามจำนวนดังกล่าวทั้งหมด แต่การกู้เงินจะเป็นไปตามความจำเป็นเท่านั้น โดยปัจจุบันรัฐบาลยังมีวงเงินกู้จาก พ.ร.ก.โควิด เพิ่มเติมอีก 5 แสนล้านบาท ที่ยังเหลือวงเงินสำหรับใช้ในปีงบประมาณ 2565 อีก 3.5 แสนล้านบาท สำหรับใช้ในการดูแลสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้คาดการณ์ว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2564 (ก.ย. 64) สัดส่วนหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ระดับ 58.96% แม้ว่าจะยังเป็นสัดส่วนที่ต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลัง แต่ในปีงบประมาณ 2565 รัฐบาลยังมีความจำเป็นต้องกู้เงินตาม พ.ร.ก.โควิด เพิ่มเติม ที่ยังเหลือวงเงินอีก 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับการกู้เงินในส่วนนี้จะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศไทยหลุดกรอบความยั่งยืนทางการคลัง จึงจำเป็นต้องมีการขยายกรอบเพดานเพิ่มขึ้น “การปรับกรอบเพดานหนี้สาธารณะ วัตถุประสงค์คือต้องการให้มีพื้นที่ทางการคลังเพิ่มขึ้นเท่านั้น โดยปัจจุบันรัฐบาลยังมีวงเงินกู้จาก […]
วันที่ 1 มิ.ย.64 ที่ห้องประชุมสุริยัน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นตอบข้อซักถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ใหม่ช่วงค่ำวันนี้ว่า งบประมาณประจำปี 2565 ทุกค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลได้เสนอมานั้นได้นำสู่การไตร่ตรองและคัดกรองอย่างเข้มงวด สำหรับประเด็นเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย ขณะนี้มียอดผู้ติดเชื้อที่ลดลงในวันนี้เหลือเพียง 2,230 คน โดยรัฐบาลพยายามที่จะแก้ปัญหาทั้งคลัสเตอร์ภายในเรือนจำและคนงานให้ได้โดยเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการบริหารเตียงสำหรับผู้ป่วยและโรงพยาบาลสนาม รวมถึงปรับเปลี่ยนวิธีในการเข้ารับการฉีดวัคซีน และสถานที่ในการฉีดวัคซีน “ทั้งนี้ การคำนวณในฐานะที่ผมเคยเป็นทหาร ถ้าเราสามารถจัดหาวัคซีนได้จำนวน 10 ล้านโดส จากเดือนนี้มิถุนายนไปจนถึงเดือนธันวาคม 2564 เราจะสามารถคุ้มครองประชาชนได้ประมาณ 70 ล้านคน ซึ่งหากได้รับวัคซีนจำนวน 9 ล้านโดส ก็จะสามารถคุ้มครองประชาชนได้ที่จำนวน 63 ล้านคน นี่คือจำนวนวัคซีนที่ได้คำนวณออกมาอย่างคร่าวๆ” นอกจากนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้พยายามติดต่อขอซื้อวัคซีนเพิ่มเติมจากยี่ห้ออื่นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยก็มีวัคซีนเข้ามาแล้วสองยี่ห้อคือ Sinovac และ AstraZeneca ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป คาดว่าการบริหารจัดการวัคซีนจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ว่าจะมีวัคซีนยี่ห้ออื่นเข้ามาเสริม เช่น Sinopharm ทั้งนี้ […]
วันที่ 27 พ.ย.63 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องรายงานสถานะหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 30 ก.ย.63 และรายการการกู้เงินและค้ำประกัน ระหว่างเดือนเม.ย.63 ถึงเดือนก.ย.63 ด้วยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 16 วรรคสอง กำหนดให้กระทรวงการคลังสรุปรายงานสถานะของหนี้สาธารณะและประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายใน 60 วัน หลังจากวันสิ้นเดือนมี.ค.และเดือนก.ย.ของทุกปี โดยรายงานดังกล่าวต้องแสดงหนี้สาธารณะที่เกิดจากการกู้เงินและค้ำประกัน ณ วันสิ้นเดือนดังกล่าว รวมทั้งรายการการกู้เงินและค้ำประกันที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงระยะเวลาระหว่างเดือนต.ค.ถึงเดือนมี.ค. และเดือนเม.ย.ถึงเดือนก.ย. ตามลำดับกระทรวงการคลังขอรายงานสถานะหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 30 ก.ย.63 และรายการการกู้เงินและค้ำประกัน ระหว่างเดือนเม.ย.63 ถึงเดือนก.ย.63 ดังนี้ 1.รายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 30 ก.ย.63 ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 30 ก.ย.63 มีจำนวน 7,848,155.88 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 49.34 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic […]
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง ได้รายงานหนี้สาธารณะ ล่าสุด ณ 30 ก.ย. 2563 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 2563 มีหนี้สาธารณะจำนวน 7.84 ล้านล้านบาท คิดเป็น 49.35% ของจีดีพี เมื่อเทียบกับ ณ 31 ส.ค. 2563 หนี้สาธารณะอยู่ที่ 7.66 ล้านล้านบาท คิดเป็น 47.90% ของจีดีพี คิดเป็นจำนวนหนี้ที่เพิ่มขึ้น 1.8 แสนล้านบาท สำหรับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเดือน ก.ย. 2563 ที่เพิ่มเป็น 49.35% มาจากทั้งจำนวนหนี้ที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันมูลค่าของจีดีพีก็ลดลง โดยในเดือน ก.ย. 2563 มูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 15.9 ล้านล้านบาท ขณะที่เดือน ส.ค. 2563 มูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 16 ล้านล้านบาท ทั้งหนี้สาธารณะล่าสุด แบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 6.73 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ […]
ราชกิจจาฯ ประกาศ รายงานหนี้สาธารณะไทย ล่าสุด
วันที่ 29 พฤษภาคม เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง รายงานสถานะหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 และรายการการกู้เงินและค้ำประกันระหว่างเดือนตุลาคม 2562 ถึงเดือนมีนาคม 2563 ด้วยพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 16 วรรคสอง กำหนดให้กระทรวงการคลังสรุปรายงานสถานะของหนี้สาธารณะและประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายในหกสิบวันหลังจากวันสิ้นเดือนมีนาคมและเดือนกันยายนของทุกปี โดยรายงานดังกล่าวต้องแสดงหนี้สาธารณะที่เกิดจากการกู้เงินและค้ำประกัน ณ วันสิ้นเดือนดังกล่าว รวมทั้งรายการการกู้เงินและค้ำประกันที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงระยะเวลาระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม และเดือนเมษายนถึงเดือนกันยายน ตามล้าดับกระทรวงการคลังขอรายงานสถานะหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 และรายการการกู้เงินและค้้าประกัน ระหว่างเดือนตุลาคม 2562 ถึงเดือนมีนาคม 2563 ดังนี้ คลิกอ่านฉบับเต็ม