ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายกฟ้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 ในคดีทุจริตโครงการก่อสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่งทั่วประเทศ พร้อมพวกรวม 6 คน โดยศาลพิเคาะห์ว่า คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการในหลักการเท่านั้น มิได้รวมถึงวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง ดังนั้นแม้นายสุเทพจะมีอำนาจอนุมัติให้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อจัดจ้างจริง แต่ก็ไม่ได้นำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และได้ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ มิได้กระทำโดยมิชอบตามที่ถูกฟ้อง ล่าสุด วันที่ 20 ก.ย. 65 หลังเสร็จสิ้นการอ่านคำพิพากษา นายสุเทพได้เข้าสวมกอดคนในครอบครัว , อดีตแกนนำกลุ่มกปปส และสมาชิกพรรครวมพลัง ที่มาให้กำลังใจ พร้อมเปิดเผยว่า ดีใจที่ศาลยกฟ้อง และหลุดพ้นข้อกล่าวหาที่มีมายาวนานกว่า 10 ปี จากนี้ไปจะเดินหน้าทำงานเพื่อประเทศชาติ และจะทำงานการเมือง สนับสนุนพรรครวมพลังอย่างเต็มที่ แต่จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง และยังไม่สามารถระบุได้ว่า ในอนาคตพรรครวมพลังจะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อหรือไม่ ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ นายสุเทพ ยังได้เข้ากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาลหลักเมืองและวัดพระแก้ว พร้อมขออโหสิกรรมให้ทุกคนที่กล่าวหาตนเอง และยังไม่ขอให้รายละเอียดว่า จะมีการฟ้องร้องผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้หรือไม่
Tag: ศาลฎีกา
วันที่ 7 เม.ย.65 จากกรณีที่ ศาลฎีกา พิพากษา น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากคดีรุกป่าราชบุรี ให้พ้นตำแหน่ง ส.ส.ตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.64 เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง 10 ปี และไม่มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง และดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต ล่าสุด ในไลน์กลุ่มส.ส.พรรคพลังประชารัฐ มี ส.ส.เข้ามาให้กำลังใจ น.ส.ปารีณา จนกระทั่งเวลา 10.21 น. น.ส.ปารีณาได้ดีดตัวเองออกจากไลน์กลุ่มส.ส.พรรคพลังประชารัฐไป ผู้สื่อข่าวพยายามโทรศัพท์ติดต่อน.ส.ปารีณา ตั้งแต่รู้ผลคำพิพากษา แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั่งเวลา13.45 น. น.ส.ปารีณา ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ตอนนี้ยังไม่เจอใคร ยังไม่ได้คิดอะไร ตอนนี้ ตัวชา กำลังทำใจอย่างเดียว ไม่ต้องทำพื้นที่แล้ว เพราะเหมือนคนตกงาน 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีสภาให้ไป ไม่มีไก่ให้เลี้ยง ไม่เหลืออะไรแล้ว”
วันที่ 4 มี.ค.65 ศาลฎีกา แผนกอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ นัดพิพากษาอุทธรณ์คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่ากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และพวกรวม 14 คน จำเลยในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 โดยองค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษริบทรัพย์ นายวัฒนา จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 ถึงจำเลยที่ 8 และจำเลยที่ 10 ให้ร่วมชดชดใช้เงินจำนวน 89 ล้านบาท ในส่วนของโทษจำคุก อุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกาฯ พิพากษายืนจำคุก 99 ปี แต่จำคุกจริงตามกฎหมาย 50 ปี จากนั้นเจ้าหน้าที่เตรียมนำตัวนายวัฒนา ไปเรือนจำ สำหรับคดีนี้เกิดขึ้นในยุคนายทักษิณ ชินวัตร และเริ่มตรวจสอบการกระทำผิดในช่วงของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ก่อนเปลี่ยนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ […]
วันที่ 30 มิ.ย.63 ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง มีคำพิพากษา ในคดีที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้องขอให้ศาลวินิจฉัย กรณี กกต.แจกใบเหลือง “นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก” ส.ส.เขต 5 จ.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เมื่อวันที่ 20 พ.ย.62 กรณีกล่าวหาให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวนเป็นเงินได้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่นายกรุงศรีวิไล เหตุคนใกล้ชิดไปมอบพวงหรีดและเงินใส่ซองช่วยงานศพ 1,000 บาท ต่อประชาชนในพื้นที่ โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีดังกล่าวหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้ง ในเขตเลือกตั้งใดมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม แต่ไต่สวนแล้วไม่ได้ความชัดว่าเป็นการกระทําของผู้ได้รับเลือกตั้ง จึงพิพากษาให้มีการเลือกตั้งใหม่แทน นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส.เขต 5 จ.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ ตามมาตรา 133 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ระบุว่า “เมื่อประกาศผลการเลือกตั้งแล้วปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้ง ในเขตเลือกตั้งใดมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม แต่ไม่ได้ความชัดว่าเป็นการกระทําของผู้ได้รับเลือกตั้ง ให้คณะกรรมการยื่นคําร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณา ในกรณีท่ีศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งนั้นมิได้เป็นไป โดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้ศาลสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่สําหรับเขตเลือกตั้งนั้น และให้สมาชิกภาพของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งจากเขตเลือกตั้งนั้นสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ศาลมีคําวินิจฉัย และ ให้คณะกรรมการดําเนินการให้มีการเลือกต้ังใหม่โดยเร็ว และให้นําความในมาตรา 138วรรค2 วรรค3 […]
จากกรณีทนายนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานกรรมการ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ได้ยื่นหลักทรัพย์เพื่อขอประกันตัวนายเปรมชัย จำเลยที่ 1 เป็นเงินสด 2 แสนบาท จำเลยที่ 2 นายยงค์ โดดเครือ จำเลยที่ 3 นายธานี ทุมมาศ เพิ่มจากเดิมในชั้นอุทธรณ์ 4 แสนบาท เป็น 6 แสนบาท เพื่อขอประกันตัวออกมาต่อสู้คดี ทั้งนี้การยื่นขอประกันตัวทนายได้มีการยื่นทันทีหลังมีผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. วันที่ 12 ธ.ค. ล่าสุดมีรายงานว่าศาลฎีกาพิจารณาคำร้องขอประกันตัวไม่แล้วเสร็จ ส่งผลให้นายเปรมชัยและพวก ต้องถูกส่งตัวเข้าเรือนจำทองผาภูมิ โดยนายเปรมชัยกับพวกต้องรอผลการพิจารณาคำสั่งของศาลฎีกาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ( 13 ธ.ค.)
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง นัดฟังคำสั่งในคดีหมายเลขดำ ลต. (ส.ส.) 585/2562 ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยว่า การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม เเละให้ศาลสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่สําหรับเขตเลือกตั้งนั้น และให้สมาชิกภาพของ ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้งจากเขตเลือกตั้งนั้นสิ้นสุดลง กับ นายกรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส.เขต 5 สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ ผู้คัดค้าน จากกรณีบุคคลใกล้ชิดใส่ซองช่วยงานศพ ซึ่ง กกต.เห็นว่าเข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 73 (1) ให้ เสนอให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง โดยวันนี้ผู้รับมอบอำนาจผู้ร้องเดินทางมาศาล ทั้งนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ได้ตรวจคำร้องแล้วมีคำสั่งรับคำร้องและบัญชีระบุพยานของผู้ร้องไว้พิจารณา โดยให้ตรวจพยานหลักฐานวันที่ 25 ธ.ค. 62 เวลา 10.00 น. ซึ่งศาลได้มีหมายแจ้งคำสั่งวันนัด ส่งสำเนาคำร้องเอกสารประกอบคำร้องและบัญชีระบุพยานของผู้ร้องให้แก่ผู้คัดค้าน โดยการส่งถ้าไม่มีผู้รับหรือไม่สามารถทำได้ให้ปิดหมายไว้ที่ภูมิลำเนาหรือที่อยู่ของผู้คัดค้าน และให้มีผลใช้ได้ทันที โดยให้ผู้คัดค้านยื่นหนังสือคำคัดค้านเอกสารประกอบคำคัดค้านและบัญชีระบุพยานภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันรับสำเนาคำร้อง พร้อมทั้งมีหนังสือแจ้งคำสั่งรับคำร้องให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรทราบ เนื่องจากศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว จึงให้ผู้คัดค้านหยุดปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. […]