นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ สส.พรรคเพื่อไทย จ.เชียงราย ใช้มีดปลอกผลไม้ปาดแขนตัวเองในสภา ว่า นายวิสารอย่าดราม่ามากเกินไป เวทีสภาอันทรงเกียรติไม่ใช่เวทีมาเล่นละคร เพื่อโปรโมทตนเอง เป็นนักการเมืองอาวุโส เป็นถึงอดีตรัฐมนตรี อย่ามาใช้พฤติกรรมที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อเยาวชนอย่างมาก และทำให้เสียภาพพจน์ต่อสภาอันทรงเกียรติ นายกฯรับฟังปัญหาของทุกฝ่าย ด้วยความตั้งใจและจริงใจ รับฟังความเห็นของน้องๆเด็กๆทุกคน ฟังเสียงสะท้อนจากคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ที่เห็นตรงข้ามหรือเห็นต่าง “นายวิสาร เคยมีลูกพี่ตัวเองเป็นนายกฯ มีการทุจริตมากมายหลายโครงการ แม้แต่โกงกินบนหลังชาวนา ชาวนาต้องฆ่าตัวตายหลายคน ชาวนาออกมาประท้วงขับไล่นายกฯในสมัยนั้น ทำไมเหตุการณ์วันนั้นนายวิสารไม่ลุกขึ้นออกมาขับไล่ให้ออกจากนายกฯคนนั้นลาออกบ้าง ทำไมไม่เอามีดมาปาดแขนขับไล่ไสส่งนายกฯ ที่โกงชาวนาคนนั้นกลางสภาบ้าง หรือเพียงว่าถ้าเป็นฝ่ายตัวเองก็แกล้งหลับหูหลับตาอย่างนั้นใช่ไหม ไม่เคยมีความคิดเอาสมองตัวเองมายืนเคียงข้างชาวนาที่ถูกโกงจากโครงการรับจำนำข้าว จนชาวนาต้องสิ้นเนื้อประดาตัว นายวิสารแกล้งโง่ หรือสติเลอะเลือนหรือเปล่า จึงจำเหตุการณ์ในวันที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลไม่ได้ นายวิสารเองก็เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนั้นด้วยมิใช่หรือ ทำไมจึงไม่แสดง ดราม่าเหมือนวันนี้บ้าง” นายสุภรณ์กล่าว
Tag: นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.63 ว่า ตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อออกมาตรการต่างๆในการให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกๆกลุ่ม โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ออกมาตรการเยียวยาเงิน 5,000 บาท สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ” นอกจากนี้ยังได้มีมาตรการเยียวยาสำหรับกลุ่มเปราะบางและเกษตรกร โดยเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการโอนเงินงวดแรกถึงบัญชีเกษตรกรแล้ว 7.1 ล้านราย รวมเงิน 3.5 หมื่นล้านบาท พร้อมกันนี้ยังได้เร่งแก้ไขปัญหาหนี้ของเกษตรกร พร้อมกับอีกหลายๆมาตรการที่ช่วยเหลือเยียวยาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้นายกฯยังให้ความสำคัญกับผู้ใช้แรงงานที่เป็นที่ต้องการในต่างประเทศหลังไวรัสโควิด-19 คลี่คลาย ก็ได้มอบหมายให้กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานร่วมกับภาคเอกชน เร่งเตรียมความพร้อมเตรียมทักษะในการจัดส่งแรงงานไทยในชุดแรกนับแสนรายไปทำงานต่างประเทศซึ่งคาดว่าจะมีรายได้เข้าประเทศจำนวนมหาศาลอย่างแน่นอน “ นายสุภรณ์ กล่าวต่อว่า จะเห็นว่านายกฯมีความเป็นห่วงประชาชนในทุกกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์โควิด-19 และได้ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประเทศไทยลดจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไปพร้อมๆกับการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจจนเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ และประชาชนคนไทย โดยจะเห็นได้จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการดำรงตำแหน่งครบ 1 ปี ของนายกฯ ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พบว่าการทำงานในตำแหน่งนายกฯ ทำได้ดีมากเพราะมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศ พูดจริงทำจริง ชัดเจน มีความซื่อสัตย์สุจริต กล้าตัดสินใจ […]
วันที่ 29 พ.ค. นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ได้สัมภาษณ์ กล่าวตอบโต้ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ว่า “ที่นายจิรายุได้ตั้งฉายานายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา “ลุงตู่เป็นนักกู้แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา” ผมจะบอกถึงนายจิรายุว่า “การกู้ของรัฐบาลเป็นการกู้เพื่อใช้หนี้ให้กับรัฐบาลในอดีตที่สร้างหนี้ไว้ โดยเฉพาะหนี้สินที่ค้างหนี้ชาวนา ในการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และหนี้สินอื่นๆ ที่รัฐบาลในอดีตทิ้งค้างไว้อย่างมากมาย ตลอดจนเป็นการกู้มาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และนำมาแก้ไขปัญหาวิกฤติโควิด-19 เพื่อป้องกันและเยียวยารักษาประชาชนให้อยู่รอดปลอดภัยจากไวรัสร้าย ซึ่งทุกคนก็ทราบดี นายสุภรณ์ กล่าวต่อว่า การกู้เงินมีมาทุกยุคทุกสมัย รัฐบาลในอดีตก็เคยกู้เงินมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย แต่ในความเห็นส่วนตัวตนเห็นว่า การกู้เงินมาเพื่อใช้จ่ายเยียวยาช่วยเหลือประชาชน เพื่อคนยากคนจนที่เดือดร้อน ดีกว่าการ “กู้มาโกง กู้มาเพื่อหากินใส่กระเป๋าตัวเองหรือพวกพ้อง หรือแจกจ่ายให้บรรดาวงศาคณาญาติตนเอง “ดังนั้นตนคิดว่า ” ลุงตู่นักกู้แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยาในความหมายของนายจิรายุนั้น ประชาชนชื่นชอบ เพราะลุงตู่กู้เพื่อให้ประชาชนใช้จ่ายอย่างทั่วถึง ดีกว่าผู้นำคนบางคนในอดีตของพวกท่านเป็น “นักโกงแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา” นักกู้มาโกง นักกู้มากิน มาเก็บใส่กระเป๋าตัวเอง” โดยไม่เผื่อแผ่ประชาชน อย่างนี้ประชาชนสาปแช่งนะครับ” นายสุภรณ์ กล่าว.
นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในไทม์ไลน์ส่วนตัวเผยความเห็นส่วนตัวว่า”จากประสบการณ์การเมืองที่ตนร่วมอยู่ในทุกเหตุการ์ทางการเมือง สิ่งที่เห็นได้ชัดตลอด 6 ปี ของการเข้ามาบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สิ่งที่ผมได้รับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา พบเห็นดังนี้ครับ 1. ความสุขที่ไม่มีการชุมนุมบนท้องถนนทำให้เกิดภาพพจน์ที่ดี ประเทศไทยไม่เสียหายในสายตาชาวโลก 2.ความขัดแย้งที่รุนแรง ที่คนไทยแบ่งสีเสื้อแทบไม่เหลือ ความสามัคคีปรองดองเริ่มมีมากขึ้น 3.ความสุขใจที่คนไทยไม่ทะเลาะเบาะแว้งเข่นฆ่ากันบนท้องถนน ทำให้คนไทยมีความสุขใจมากขึ้น มีวิถีชีวิตปกติสุข ทำมาหากินอย่างปลอดภัยไม่ต้องหวาดระแวง 4.การทุจริตคอร์รัปชั่นการฉ้อราษฎร์บังหลวง การแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองลดไปอย่างมากเพราะมีผู้นำที่เด็ดขาดในการปราบปรามและป้องการการทุจริต เพราะผู้นำไม่ต้องการอำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง 5.ตลอดการชุมนุมบนท้องถนนนับ10ปีและความขัดแย้งที่รุนแรงทำให้เศรษฐกิจไทยพังพินาศย่อยยับ นักท่องเที่ยวเป็นศูนย์ ทุกประเทศทั่วโลกประกาศห้ามเดินทางเข้าไทย พอรัฐบาลคสช.เข้ามายุติการชุมนุมและบริหารประเทศ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศประมาณปีละ 40ล้านคนทำให้ประเทศมีรายได้มากขึ้นทันที 6.จัดให้มีการเลือกตามรัฐบาลธรรมนูญปี60 ทุกพรรคการเมืองร่วมกติกาลงสู่สนามเลือกตั้งปี62 ประชาชนใข้สิทธิ์เลือกตั้ง ประชาธิปไตยเริ่มเบ่งบานการเมืองเข้าสู่ระบบรัฐสภา 7.เป็นรัฐบาลที่กล้าดูแลประชาชนช่วยเกษตรกรที่เดือดร้อนเช่น การหาเงินมาใช้หนี้ให้ชาวนาก่อนที่ชาวนาจะผูกคอตายกันทั้งประเทศจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลที่ผ่านมา มีนโยบายที่โดนใจประชาชนมากมายมายอาทิเช่น การใหับัตรสวัสดิการแห่งรัฐแก่คนยากจนมีเงินใช้จ่ายในครัวเรือนทุกเดือน การจัดการกับนายทุนนอกระบบ คิดดอกเบี้ยแพง ข่มขู่ยึดทรัพย์สินประชาชน ทำให้ประชาชนได้ทรัพย์สินคืนมาและปลอดภัยในชีวิต กล้าประกาศการปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติมีมาตรการจับกุมกับผู้ค้ายาเสพติดขั้นเด็ดขาด เป็นรัฐบาลที่ยึดมั่นทำงานให้ประชาชนทุกนโยบายลงสู่ประชาชนเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นโครงการ”ชิม ช้อป ใช้” เป็นที่ชื่นชอบมาก ประกันรายได้ให้เกษตรกรรากหญ้า เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุผู้พิการ เพิ่มค่าตอบแทนอสม.และอีกมากมายหลายนโยบาย 8.มุ่งสร้างความสามัคคีปรองดองลดความขัดแย้งทางการเมือง พร้อมร่วมมือและเปิดใจรับฟังจากทุกภาคส่วนทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านโดยไม่คิดว่าเป็นศัตรูทางการเมือง […]
วันที่ 14 พ.ค.63 เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เผยแพร่คำวินิจฉัยกกต.สั่งดำเนินคดีอาญาว่า น.ส.ลักษมีกานต์ วาจาสิทธิ์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส.ส.เขต 10 นครราชสีมา ได้กระทำอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.61 มาตรา 143 โดย กกต.ได้รับรายงานกรณีมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏต่อกกต. ว่า นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้สมัครส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ(ผู้ถูกกล่าวหาที่1) นายธวัชชัย ลาภกระโทก ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเขต 10 นครราชสีมา (ผู้ถูกกล่าวหาที่2) และ น.ส.ลักษมีกานต์ วาจาสิทธิ์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเขต 10 นครราชสีมา(ผู้ถูกกล่าวหาที่3) ได้กระทำอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.61 มาตรา 143 วรรคหนึ่งและวรรคสอง กล่าวคือ ผู้ถูกร้องที่สามกระทำการอันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่า ผู้สมัครผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.61 เพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัครผู้นั้นถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพื่อไม่ให้มีการประกาศผลเลือกตั้ง กกต.ได้พิจารณารายงานไต่สวนทั้งพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องแล้ว ได้ความว่า เมื่อวันที่ 3 เม.ย.62 เวลา 13.01 น. ที่สำนักงาน กกต.ประจำจังหวัดนครราชสีมา นายสุภรณ์ ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งส.ส.เขต10 นครราชสีมา กล่าวอ้างว่าเมื่อวันที่ […]
วันที่ 13 พ.ค. นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง นายจตุพร พรหมพันธ์ุ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช) พูดในรายการ PEACE TALKE ผ่านเฟซบุ๊กกรณี การยิงเลเซอร์ตามหาความจริงเป็นตัวหนังสือตามสถานที่ต่างๆ เพื่อตอกย้ำเหตุการณ์สลายการชุมนุมในอดีตนั้น ” ผมเองในฐานะที่เคยเป็นอดีตแกนนำที่อยู่ในเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย ในยุคนั้นคนหนึ่ง อยากจะเตือนสตินายจตุพร ในฐานะเพื่อนรักกันว่า “บทเรียนในอดีตพวกเราเคยตกเป็นเครื่องมือของใครบางคนบางกลุ่ม พวกเราต้องยอมรับความจริงกันว่า พวกเรามีจุดยืนที่เรียกว่า ทฤษฎี 2 ขา ขาที่ 1. เรามีจุดยืนเพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่ขาที่ 2. เรามีจุดยืนเพื่อผลประโยชน์ตนเอง ในการรับใช้พรรคการเมืองเพราะพวกเราเป็นสมาชิกพรรคการเมืองกันเกือบทุกคน และเรายังมีผู้บังคับบัญชาคอยสั่งการอยู่เบื้องหลังในการชุมนุม คงไม่ต้องให้เราบอกว่าเป็นใคร พอเลือกตั้งเสร็จ ทุกคนก็ได้รับรางวัลสมนาคุณความดีความชอบแกนนำทุกคน มีตำแหน่งทางการเมืองกันทั่วหน้า บางคนให้มีตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ บางคนได้ลูกหรือภรรยามาเป็น ส.ส.ในสภา แกนนำบางคนได้เป็นถึงรัฐมนตรีในกระทรวงใหญ่ๆ สองสามกระทรวง ด้วยซ้ำไป ที่ผมต้องพูดเพราะต้องทบทวนบทบาทความคิดตนเองว่า เราสู้เพื่อประชาชนสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือสู้เพื่อพรรคการเมืองหรือสู้เพื่อใครบางคน หรือสู้เพื่ออยากมีอยากได้ตำแหน่งของตัวเราเอง เราต้องเอาข้อเท็จจริงมาพูดกัน แบบไม่มีอคติ กล่าวหาใส่ร้ายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือพูดเพื่อทำลายบรรยากาศให้บ้านเมืองมันมีปัญหาความขัดแย้งกลับขึ้นมาอีกเหมือนในอดีต […]
วันที่ 1 พ.ค. 63 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายก กล่าวว่า ตนเคยเป็นเด็กเดินตามผู้ใหญ่ทางการเมืองมาตั้งแต่ในยุค ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเข้าออกบ้านซอยสวนพลูหลายครั้ง ได้ฟังคำแนะนำทางการเมืองที่ดีจากบรมครูทางการเมือง กระทั่งมาทำงานเป็นผู้ช่วยดำเนินงานส.ส.ติดสอยห้อยตาม พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา หัวหน้าพรรคกิจสังคม รมว.ต่างประเทศ ในสมัยนั้น และเคยทำงานอยู่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ทางการเมืองหลายรัฐบาล ประสบการณ์กว่า 30 ปี บนถนนการเมือง ไม่เคยเห็นอะไรที่น่าขยะแขยงน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนในยุคนี้ และสงสัยว่าหัวใจของบางคนในฝ่ายค้านฝ่ายแค้นทำด้วยอะไร ทำได้ทุกอย่างไม่มีความละอายแก่ใจตัวเอง ความละอายต่อตัว เกรงกลัวต่อบาป โลกใบนี้กำลังเกิดภัยวิกฤตไวรัสร้ายที่รุนแรงกำลังทำลายโลกทั้งโลก กำลังทำลายเศรษฐกิจและเข่นฆ่าประชาชนอย่างย่อยยับ แม้แต่ประเทศที่เป็นมหาอำนาจโลกทั้งด้านกองทัพทางด้านเศรษฐกิจ ยังเอาไม่อยู่ สงครามไวรัสครั้งนี้ยิ่งใหญ่หนักกว่าสงครามโลกด้วยซ้ำไป ถ้าโลกใบนี้ต้านกำลังเอาไม่ไหวก็ต้องตายกันล้างโลก ประเทศไทยเราไม่ได้เป็นมหาอำนาจด้านกองทัพ ไม่ได้เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จะเปรียบเทียบเท่ากับประเทศใหญ่ๆ เหล่านั้นไม่ได้ แต่ประเทศไทยแก้ปัญหาสู้กับโควิดร้ายนี้ได้จนยอดผู้ป่วยผู้ติดเชื้อลดลงมาเหลือเลขหลักเดียวติดต่อกันมาหลายวัน เหลือผู้ป่วยนอนรพ.หลักร้อย รักษาหายกลับบ้านได้หลายพันคน นานาชาติต่างชื่นชมยินดี กับความสำเร็จของประเทศไทย ชื่นชมผู้นำไทย รัฐบาลไทย ทีมแพทย์ไทยตลอดจนผู้ร่วมกันต่อสู้ทุกภาคส่วน จนทำให้เมืองไทยได้ขึ้นเป็นประเทศชั้นนำในการจัดการกับไวรัสโควิด-19 เสียงปรบมือเสียงชื่นชมเสียงยกย่องจากทั่วโลกส่งสัญญาณมาถึงชาวไทย เราคนไทยทุกคนปลื้มใจ จนอดยิ้มอดภาคภูมิใจกับเสียงยกย่องจากทั่วโลกไม่ได้ ชัยชนะอันใกล้นี้กำลังจะมาถึงแล้ว เป็นเพราะคนไทยมีความสามัคคีร่วมมือร่วมใจกันอย่างแท้จริง นายสุภรณ์ กล่าวอีกว่า […]
วันที่ 20 เม.ย.63 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมส่งจดหมายเปิดผนึกถึงผู้ประกอบการ หรือนักธุรกิจชั้นนำของประเทศ 20 ท่าน ย้ำทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันฝ่าวิกฤต นายสุภรณ์ กล่าวว่า จดหมายดังกล่าวนั้น เพื่อขอบคุณผู้ประกอบการทุกท่านที่ได้ช่วยเหลือกันมา ในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาในช่วงโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 โดยก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการหลายท่านบริจาคเงินและสิ่งของที่จำเป็น รวมถึงได้จัดทำโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย และยังมีการแจกเจลล้างมือให้กับประชาชน หรือหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ เครื่องใช้ อาหาร นอกจากนี้จะเป็นการเชิญนักธุรกิจระดับชั้นนำประเทศ เพื่อระดมแนวคิดในการแก้ปัญหาของชาติและของโลก เพราะวิกฤตโควิด-19 นั้น เป็นเรื่องของมนุษยชาติ ทุกประเทศต้องเผชิญกับปัญหาอย่างหนักร่วมกันในโลกใบนี้ เราทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกันไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหนก็ตาม ทุกคนในชาติต้องรวมพลังกัน นักธุรกิจก็คือผู้หนึ่งที่มีศักยภาพสามารถช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชน เมื่อประเทศเราพ้นภัยครั้งนี้ ประชาชนทั้งโลกก็จะได้ประโยชน์เช่นกัน นายสุภรณ์ กล่าวย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ ได้รับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ หมอ พยาบาล พ่อค้า ประชาชน ปราชญ์ชาวบ้าน รวมทั้งเกษตรกร ที่ได้ส่งคำแนะนำ ข้อเสนอแนะ ในการแก้ปัญหาครั้งนี้ เพราะวิกฤตโควิด-19 […]
วันที่ 18 เม.ย. 63 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกรณี นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เจ้าของกิจการกลุ่มไทยซัมมิท มารดา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แจกเงินประชาชน คนละ 2,000 บาทพร้อมถุงยังชีพในย่านสมุทรปราการว่า “ตนมองในเจตนาดีก่อน ว่า ในวิกฤติไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ ใครช่วยประชาชนต้องชื่นชมในน้ำใจของคนไทย ที่ไม่ทิ้งกัน ที่ผ่านมาเราเห็นภาคเอกชนและประชาชนจำนวนมาก มีจิตอาสาออกมาช่วยกันเสียสละทุ่มเทช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้คลายความเดือดร้อนจากภัยวิกฤติไวรัสร้ายที่กำลังแพร่ระบาด การช่วยกันทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทนถือว่าเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยกย่องควรได้รับเสียงปรบมือในความมีน้ำใจเสียสละช่วยคนไทยด้วยกันยามทุกข์ยากยามมีภัย นี่คือหัวใจคนไทยที่ไม่มีวันทอดทิ้งกันและกัน” “กรณีของนางสมพรฯถ้ามิได้หวังผลแอบแฝงทางการเมืองเพื่อช่วยใครหรือเพื่อช่วยพรรคการเมืองใดก็ถือว่า เป็นการทำความดี แต่บังเอิญว่านางสมพร เป็นมารดาของ นายธนาธร นักการเมืองดัง เจ้าของพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบไปแล้วและไปตั้งพรรคก้าวไกล และบังเอิญอีกว่าเป็นพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ที่มีสส.ของพรรคก้าวไกลอยู่1คน ขณะที่อำเภอบางพลี เป็นท้องที่เขตเลือกตั้งของสส.กรุงศรีวิไล สุทินเผือก พรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกใบเหลือง รอศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตัดสินว่าจะต้องเลือกตั้งใหม่หรือไม่ และก็บังเอิญอีกที่มีผู้สมัคร สส.ของพรรคอนาคตใหม่ อยู่ในพื้นที่นี้ด้วย” นายสุภรณ์กล่าวต่อว่า หากการกระทำของ นางสมพร เป็นการกระทำเพื่อปูทางหาเสียงให้กับผู้สมัครพรรคก้าวไกลเช่นนี้ การกระทำดังกล่าวอาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ เพราะว่าเขตบางพลี อาจจะมีการเลือกตั้งใหม่ในอนาคตซึ่งต้องรอผลศาลฯตัดสิน ถ้านางสมพรฯมิได้มีเจตนาแอบแฝงหรือหวังผลทางการเมือง […]
วันที่ 22 มี.ค.63 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์ของการให้ข่าวเกี่ยวกับโควิด-19 มีเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่ผลกระทบให้น้อยที่สุดและเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของพี่น้องประชาชนที่มีค่าสูงสุด จึงต้องขอทุกคนสนใจข่าวสารจากรัฐบาลอย่างใกล้ชิด บางเรื่องอาจจะสื่อสารสับสนบ้างเป็นเรื่องที่ต้องขอความเข้าใจกันเห็นใจกันเพราะทุกคนทุ่มเทเสียสละทำงานหนักแทบไม่ได้พักผ่อน อย่าเอามาเป็นประเด็นทำให้คนทำงานเสียขวัญกำลังใจ จึงอยากฝากไปยังเพื่อนสมาชิกนักการเมืองฝ่ายค้านทุกท่านว่า ขอให้ยุติการให้ร้ายและโจมตีการทำงานของนายกฯและคณะฯ จะเป็นการดีที่สุด เพื่อให้รัฐบาลได้ใช้สรรพกำลังที่มีอยู่ฝ่าฟันสถานการณ์นี้ไปให้ได้ “นายกฯเป็นหัวหน้าทีมหรือผู้นำที่กำลังบังคับรถที่จะนำพาคนไทย70ล้านคน ทั้งที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ ฝ่าด่านโควิด-19ไปให้ถึงฝั่งถึงเส้นชัย เพราะมีชัยชนะรออยู่ข้างหน้า แต่ระหว่างทาง หากมีใครมาตะโกนโหวกเหวกในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง นายกฯจะไม่เสียเวลาจอดรถรับฟัง จนทำลายสมาธิเพราะไม่อยากเสียเวลากับเรื่องที่ไร้สาระเหล่านั้น นายกฯ ต้องใช้สมาธิและความมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาไปให้ถึงจุดหมาย แต่หากใครมาร้องอยู่สองข้างทางตามแยกต่างๆมีความเห็นมีข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาเรื่องโควิด แม้ประชาชนแค่คนเดียว นายกฯก็ยินดีจอดรถรับฟัง” นายสุภรณ์ ยังกล่าวตอนท้ายว่า สิ่งสำคัญที่สุดและเป็นหัวใจของการต่อสู้กับโรคร้ายคือ ความร่วมมือร่วมใจ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย เชื่อมั่นคนไทยในยามทุกข์เข็ญ จะหลอมรวมเป็นหนึ่ง และขอให้เชื่อมั่นในตัวนายกฯที่จะบริหารจัดการประเทศในยามวิกฤติให้ผ่านพ้นไปได้ เมื่อถามว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เสนอให้ นายกฯลาออกเพื่อให้สภาเลือกนายกฯคนใหม่มาแก้ปัญหาโควิด-19นั้น นายสุภรณ์ ถามกลับว่า นายธนาธร ควรจะหาหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือไปแจกประชาชน ช่วยประชาชนอีกทาง ไม่ควรฉวยโอกาสที่เวลาที่ประชาชนเดือดร้อน มาซ้ำเติมกันเพื่อหวังผลทางการเมือง ควรคิดสร้างสรรค์มากกว่านี้ วิสัยทัศน์ ของคนที่จะอาสามาเป็นผู้นำประเทศ คิดได้เพียงแค่นี้เองหรือ ความคิดแค่ทำให้ตัวเองถูกต้องตามกฎหมายของพรรคการเมืองยังทำไม่ได้ ทำตัวเองผิดพลาดจนคงต้องทำให้กรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคของตนเองต้องเดือดร้อนไปด้วย […]