วันที่ 24 พ.ย. นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกลุ่มราษฎรที่จะชุมนุมสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ในวันพรุ่งนี้ว่า แม้ว่าการชุมนุมจะสามารถทำได้ แต่แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม ไม่สมควรปลุกระดมคน ไปชุมนุมที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ถือเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นสถานที่ราชการ อีกทั้งยังถือเป็นการจาบจ้วงสถาบันอีกด้วย พร้อมกันนี้ ยังเห็นว่ากลุ่มผู้ชุมนุมทุกคนควรหันมาช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบสุข ไม่อยากเห็นม็อบชนม็อบ จนเกิดเหตุรุนแรง และคนไทยต้องมารบราฆ่าแกงกันเอง โดยนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่อยากให้มีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น จึงได้กำชับไม่ให้เกิด “ม็อบชนม็อบ” และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลผู้ชุมนุม ซึ่งจะเห็นได้ว่านายกฯ มีความห่วงใยผู้ชุมนุมมาก ดังนั้นจึงขอให้แกนนำผู้ชุมนุมให้คิดทบทวนก่อนที่จะชุมนุมในวันพรุ่งนี้ “นายกฯ มีความต้องการเห็นคนไทยมีความรักสามัคคีกัน อยากให้ทุกคนร่วมมือกันทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข เหตุการณ์ในอดีตก็เป็นบทเรียนที่สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองมามากแล้ว จึงไม่อยากให้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นเหมือนในอดีต ไม่ต้องการให้คนไทยที่บริสุทธิ์ต้องมาเดือดร้อนได้รับผลกระทบจากการชุมนุมในครั้งนี้อีก” นายสุภรณ์ กล่าว…
Tag: แรมโบ้
วันที่ 19 พ.ย. นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีที่นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรคก้าวไกล ที่ระบุถึงแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีเฮงซวย ว่า การออกแถลงการณ์ของนายกฯ ที่ระบุให้ใช้กฎหมายทุกฉบับนั้น ก็เพราะว่าการชุมนุมนั้นไม่เป็นไปตามกฎหมาย ป่าเถื่อน มีการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ถือเป็นการหยียบย่ำหัวใจประชาชนคนไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นการกระทำที่จาบจ้วงก้าวร้าวที่คนไทยที่จงรักภักดีเจ็บปวดที่สุด จนจะอดทนไม่ไหวแล้ว ก่อนหน้านี้นายกฯ ไม่เคยห้ามให้มีการชุมนุม แต่ขอให้ทำตามกฎหมาย และพยายามที่จะดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุม แต่ผู้ชุมนุมยังไม่ทำตามกฎหมาย ดังนั้น เห็นว่าการออกแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีมีความเหมาะสมที่สุดแล้ว นายสุภรณ์ กล่าวต่อว่า โฆษกพรรคก้าวไกล อย่าทำเป็นคนมั่วนิ่มทำเป็นคนปัญญาอ่อน โดยไม่ได้ดูพฤติกรรมการชุมนุมของผู้ชุมนุมก่อนว่า ทำอะไรไปบ้าง เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ก่อนที่จะออกมาตำหนินายกฯ หรือว่าโฆษกพรรคก้าวไกลมีนิสัยชอบความรุนแรงป่าเถื่อน มีแนวคิดล้มล้างสถาบัน จึงชอบการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมแบบนี้ จนมองไม่ออกว่าอะไรดีหรือไม่ดี นี่คือการกระทำที่ย่ำยีหัวใจคนไทยที่สุด จนใกล้เหลืออดเหลือทนแล้ว คนไทยที่จงรักภักดีจะทนไม่ไหว อยากออกมากระทืบให้จมธรณี แต่ก็ต้องขอร้องให้อดทนอดกลั้นไว้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายความมั่นคงดำเนินการตามกฎหมายให้เด็ดขาด นายสุภรณ์ กล่าวอีกว่า นายกฯ เข้ามาแก้ไขปัญหาให้ประเทศที่พังมามากและเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงให้สงบสุขและเข้ามาบริหารพัฒนาประเทศจนเป็นที่ยอมรับจากทั้งในและต่างประเทศ ส่วนที่มาระบุว่านายกฯ อยากอยู่ยาวจึงมีการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเอื้อตัวเองนั้น ก็ยืนยันว่านายกฯ เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย สิ่งสำคัญคือรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ผ่านการทำประชามติเป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งพรรคก้าวไกลคงปฎิเสธไม่ได้ว่าได้อานิสงส์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้เช่นกันที่ได้ ส.ส.ของพรรคเข้ามาจำนวนหลายคน “การพูดอะไร ช่วยระวังปากให้มากกว่านี้หน่อย […]
วันที่ 13 พ.ย. นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำกลุ่มก้าวหน้า ว่า แม้ว่านายธนาธรจะปิดบังกำหนดการลงพื้นที่เพราะกลัวว่า จะมีคนรักสถาบันจากจังหวัดต่างๆ มาขับไล่นั้น แสดงว่า นายธนาธร กลัวความจริง สิ่งที่นายธนาธรกำลังเผชิญอยู่นี้ ไม่ใช่ว่าจะมีคนตามล้างตามราวีนายธนาธร แต่เพราะนายธนาธร ทำตัวเอง “ใครก็รู้ว่า ม็อบ 3 นิ้วนั้น เลียนแบบ นายธนาธร นายปิยบุตร และนางสาวพรรณิการ์ ทั้งนั้น คนเหล่านี้พยายามล้างสมองอันบริสุทธิ์ของเด็กให้มาเป็นเครื่องมือ แต่ตนเองกลับอยู่ข้างหลัง มุดกระโปรงเด็กอยู่ ไม่กล้าออกมาต่อสู้ ดังนั้นวันนี้ กรรมได้ตามสนองนายธนาธรแล้ว ผมเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระสยามเทวาธิราช ที่จะคอยปกป้องคนดี ส่วนคนไม่ดีจะได้รับผลกรรมที่ก่อเอาไว้” นายสุภรณ์ กล่าว… นายสุภรณ์ กล่าวต่อว่า ตนเล่นการเมืองมาก่อนนายธนาธร ผ่านทั้งการเมืองในสภาและนอกสภา รู้เช่นเห็นชาติมาหมด นายธนาธร ไม่มีวันจะมาสร้างภาพหลอกลวงประชาชนได้ สิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่า คนอื่นเป็นศัตรูกับนายธนาธร หากนายธนาธร เล่นการเมืองปกติธรรมดา ก็ไม่มีปัญหา แต่ที่เป็นปัญหาเพราะนายธนาธร มักใหญ่ใฝ่สูง […]
วันที่ 13 ตุลาคม 2563 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎรในวันที่ 14 ต.ค.นี้ ว่าในฐานะอดีตแกนนำ นปช.รู้สึกดีใจและขอบคุณอดีตคนเสื้อแดง ทั้งนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. นายขวัญชัย ไพรพนา อดีตประธานชมรมคนรักอุดรฯ นายอานนท์ แสนน่าน และเครือข่ายสมาชิกอดีตหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย ทุกภาค ทุกจังหวัด ที่ประกาศจุดยืนจะไม่มาร่วมการชุมนุม พร้อมกับแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบัน ไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องก้าวล่วงสถาบัน เพราะคนเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตยมีจุดยืนคือปกป้องเทิดทูนสถาบันอย่างแท้จริง นายสุภรณ์กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าใครที่ไปอวดอ้างเสื้อแดง ร่วมกับกลุ่มคณะราษฎรที่จะมีการชุมนุมในวันพรุ่งนี้นั้น ถือว่าแดงเหล่านั้นเป็นแดงไม่รักประชาธิปไตย แดงไม่ปกป้องสถาบัน เพราะพวกเราที่เคยเป็นอดีตคนเสื้อแดงที่เคยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนั้น พวกเราทุกคนไม่ว่านายจตุพร นายขวัญชัย นายอานนท์ แสนน่าน และแกนนำอีกมากมายหลายคนมีจุดยืนชัดเจน นั่นคือเราเทิดทูนสถาบัน และพวกเราพร้อมที่จะปกป้องสถาบันไม่ให้ใครมาจาบจ้วง ก้าวล่วง แตะต้องสถาบันอย่างเด็ดขาด
นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในไทม์ไลน์ส่วนตัวเผยความเห็นส่วนตัวว่า”จากประสบการณ์การเมืองที่ตนร่วมอยู่ในทุกเหตุการ์ทางการเมือง สิ่งที่เห็นได้ชัดตลอด 6 ปี ของการเข้ามาบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สิ่งที่ผมได้รับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา พบเห็นดังนี้ครับ 1. ความสุขที่ไม่มีการชุมนุมบนท้องถนนทำให้เกิดภาพพจน์ที่ดี ประเทศไทยไม่เสียหายในสายตาชาวโลก 2.ความขัดแย้งที่รุนแรง ที่คนไทยแบ่งสีเสื้อแทบไม่เหลือ ความสามัคคีปรองดองเริ่มมีมากขึ้น 3.ความสุขใจที่คนไทยไม่ทะเลาะเบาะแว้งเข่นฆ่ากันบนท้องถนน ทำให้คนไทยมีความสุขใจมากขึ้น มีวิถีชีวิตปกติสุข ทำมาหากินอย่างปลอดภัยไม่ต้องหวาดระแวง 4.การทุจริตคอร์รัปชั่นการฉ้อราษฎร์บังหลวง การแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองลดไปอย่างมากเพราะมีผู้นำที่เด็ดขาดในการปราบปรามและป้องการการทุจริต เพราะผู้นำไม่ต้องการอำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง 5.ตลอดการชุมนุมบนท้องถนนนับ10ปีและความขัดแย้งที่รุนแรงทำให้เศรษฐกิจไทยพังพินาศย่อยยับ นักท่องเที่ยวเป็นศูนย์ ทุกประเทศทั่วโลกประกาศห้ามเดินทางเข้าไทย พอรัฐบาลคสช.เข้ามายุติการชุมนุมและบริหารประเทศ มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศประมาณปีละ 40ล้านคนทำให้ประเทศมีรายได้มากขึ้นทันที 6.จัดให้มีการเลือกตามรัฐบาลธรรมนูญปี60 ทุกพรรคการเมืองร่วมกติกาลงสู่สนามเลือกตั้งปี62 ประชาชนใข้สิทธิ์เลือกตั้ง ประชาธิปไตยเริ่มเบ่งบานการเมืองเข้าสู่ระบบรัฐสภา 7.เป็นรัฐบาลที่กล้าดูแลประชาชนช่วยเกษตรกรที่เดือดร้อนเช่น การหาเงินมาใช้หนี้ให้ชาวนาก่อนที่ชาวนาจะผูกคอตายกันทั้งประเทศจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลที่ผ่านมา มีนโยบายที่โดนใจประชาชนมากมายมายอาทิเช่น การใหับัตรสวัสดิการแห่งรัฐแก่คนยากจนมีเงินใช้จ่ายในครัวเรือนทุกเดือน การจัดการกับนายทุนนอกระบบ คิดดอกเบี้ยแพง ข่มขู่ยึดทรัพย์สินประชาชน ทำให้ประชาชนได้ทรัพย์สินคืนมาและปลอดภัยในชีวิต กล้าประกาศการปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติมีมาตรการจับกุมกับผู้ค้ายาเสพติดขั้นเด็ดขาด เป็นรัฐบาลที่ยึดมั่นทำงานให้ประชาชนทุกนโยบายลงสู่ประชาชนเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นโครงการ”ชิม ช้อป ใช้” เป็นที่ชื่นชอบมาก ประกันรายได้ให้เกษตรกรรากหญ้า เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุผู้พิการ เพิ่มค่าตอบแทนอสม.และอีกมากมายหลายนโยบาย 8.มุ่งสร้างความสามัคคีปรองดองลดความขัดแย้งทางการเมือง พร้อมร่วมมือและเปิดใจรับฟังจากทุกภาคส่วนทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านโดยไม่คิดว่าเป็นศัตรูทางการเมือง […]
วันที่ 1 พ.ค. 63 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายก กล่าวว่า ตนเคยเป็นเด็กเดินตามผู้ใหญ่ทางการเมืองมาตั้งแต่ในยุค ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเข้าออกบ้านซอยสวนพลูหลายครั้ง ได้ฟังคำแนะนำทางการเมืองที่ดีจากบรมครูทางการเมือง กระทั่งมาทำงานเป็นผู้ช่วยดำเนินงานส.ส.ติดสอยห้อยตาม พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา หัวหน้าพรรคกิจสังคม รมว.ต่างประเทศ ในสมัยนั้น และเคยทำงานอยู่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ทางการเมืองหลายรัฐบาล ประสบการณ์กว่า 30 ปี บนถนนการเมือง ไม่เคยเห็นอะไรที่น่าขยะแขยงน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนในยุคนี้ และสงสัยว่าหัวใจของบางคนในฝ่ายค้านฝ่ายแค้นทำด้วยอะไร ทำได้ทุกอย่างไม่มีความละอายแก่ใจตัวเอง ความละอายต่อตัว เกรงกลัวต่อบาป โลกใบนี้กำลังเกิดภัยวิกฤตไวรัสร้ายที่รุนแรงกำลังทำลายโลกทั้งโลก กำลังทำลายเศรษฐกิจและเข่นฆ่าประชาชนอย่างย่อยยับ แม้แต่ประเทศที่เป็นมหาอำนาจโลกทั้งด้านกองทัพทางด้านเศรษฐกิจ ยังเอาไม่อยู่ สงครามไวรัสครั้งนี้ยิ่งใหญ่หนักกว่าสงครามโลกด้วยซ้ำไป ถ้าโลกใบนี้ต้านกำลังเอาไม่ไหวก็ต้องตายกันล้างโลก ประเทศไทยเราไม่ได้เป็นมหาอำนาจด้านกองทัพ ไม่ได้เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จะเปรียบเทียบเท่ากับประเทศใหญ่ๆ เหล่านั้นไม่ได้ แต่ประเทศไทยแก้ปัญหาสู้กับโควิดร้ายนี้ได้จนยอดผู้ป่วยผู้ติดเชื้อลดลงมาเหลือเลขหลักเดียวติดต่อกันมาหลายวัน เหลือผู้ป่วยนอนรพ.หลักร้อย รักษาหายกลับบ้านได้หลายพันคน นานาชาติต่างชื่นชมยินดี กับความสำเร็จของประเทศไทย ชื่นชมผู้นำไทย รัฐบาลไทย ทีมแพทย์ไทยตลอดจนผู้ร่วมกันต่อสู้ทุกภาคส่วน จนทำให้เมืองไทยได้ขึ้นเป็นประเทศชั้นนำในการจัดการกับไวรัสโควิด-19 เสียงปรบมือเสียงชื่นชมเสียงยกย่องจากทั่วโลกส่งสัญญาณมาถึงชาวไทย เราคนไทยทุกคนปลื้มใจ จนอดยิ้มอดภาคภูมิใจกับเสียงยกย่องจากทั่วโลกไม่ได้ ชัยชนะอันใกล้นี้กำลังจะมาถึงแล้ว เป็นเพราะคนไทยมีความสามัคคีร่วมมือร่วมใจกันอย่างแท้จริง นายสุภรณ์ กล่าวอีกว่า […]
วันที่ 20 เม.ย.63 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมส่งจดหมายเปิดผนึกถึงผู้ประกอบการ หรือนักธุรกิจชั้นนำของประเทศ 20 ท่าน ย้ำทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันฝ่าวิกฤต นายสุภรณ์ กล่าวว่า จดหมายดังกล่าวนั้น เพื่อขอบคุณผู้ประกอบการทุกท่านที่ได้ช่วยเหลือกันมา ในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาในช่วงโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 โดยก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการหลายท่านบริจาคเงินและสิ่งของที่จำเป็น รวมถึงได้จัดทำโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย และยังมีการแจกเจลล้างมือให้กับประชาชน หรือหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ เครื่องใช้ อาหาร นอกจากนี้จะเป็นการเชิญนักธุรกิจระดับชั้นนำประเทศ เพื่อระดมแนวคิดในการแก้ปัญหาของชาติและของโลก เพราะวิกฤตโควิด-19 นั้น เป็นเรื่องของมนุษยชาติ ทุกประเทศต้องเผชิญกับปัญหาอย่างหนักร่วมกันในโลกใบนี้ เราทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกันไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหนก็ตาม ทุกคนในชาติต้องรวมพลังกัน นักธุรกิจก็คือผู้หนึ่งที่มีศักยภาพสามารถช่วยเหลือประเทศชาติและประชาชน เมื่อประเทศเราพ้นภัยครั้งนี้ ประชาชนทั้งโลกก็จะได้ประโยชน์เช่นกัน นายสุภรณ์ กล่าวย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ ได้รับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ หมอ พยาบาล พ่อค้า ประชาชน ปราชญ์ชาวบ้าน รวมทั้งเกษตรกร ที่ได้ส่งคำแนะนำ ข้อเสนอแนะ ในการแก้ปัญหาครั้งนี้ เพราะวิกฤตโควิด-19 […]
วันที่ 18 เม.ย. 63 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เปิดเผยกรณี นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เจ้าของกิจการกลุ่มไทยซัมมิท มารดา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แจกเงินประชาชน คนละ 2,000 บาทพร้อมถุงยังชีพในย่านสมุทรปราการว่า “ตนมองในเจตนาดีก่อน ว่า ในวิกฤติไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ ใครช่วยประชาชนต้องชื่นชมในน้ำใจของคนไทย ที่ไม่ทิ้งกัน ที่ผ่านมาเราเห็นภาคเอกชนและประชาชนจำนวนมาก มีจิตอาสาออกมาช่วยกันเสียสละทุ่มเทช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้คลายความเดือดร้อนจากภัยวิกฤติไวรัสร้ายที่กำลังแพร่ระบาด การช่วยกันทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทนถือว่าเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยกย่องควรได้รับเสียงปรบมือในความมีน้ำใจเสียสละช่วยคนไทยด้วยกันยามทุกข์ยากยามมีภัย นี่คือหัวใจคนไทยที่ไม่มีวันทอดทิ้งกันและกัน” “กรณีของนางสมพรฯถ้ามิได้หวังผลแอบแฝงทางการเมืองเพื่อช่วยใครหรือเพื่อช่วยพรรคการเมืองใดก็ถือว่า เป็นการทำความดี แต่บังเอิญว่านางสมพร เป็นมารดาของ นายธนาธร นักการเมืองดัง เจ้าของพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบไปแล้วและไปตั้งพรรคก้าวไกล และบังเอิญอีกว่าเป็นพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ที่มีสส.ของพรรคก้าวไกลอยู่1คน ขณะที่อำเภอบางพลี เป็นท้องที่เขตเลือกตั้งของสส.กรุงศรีวิไล สุทินเผือก พรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกใบเหลือง รอศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตัดสินว่าจะต้องเลือกตั้งใหม่หรือไม่ และก็บังเอิญอีกที่มีผู้สมัคร สส.ของพรรคอนาคตใหม่ อยู่ในพื้นที่นี้ด้วย” นายสุภรณ์กล่าวต่อว่า หากการกระทำของ นางสมพร เป็นการกระทำเพื่อปูทางหาเสียงให้กับผู้สมัครพรรคก้าวไกลเช่นนี้ การกระทำดังกล่าวอาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ เพราะว่าเขตบางพลี อาจจะมีการเลือกตั้งใหม่ในอนาคตซึ่งต้องรอผลศาลฯตัดสิน ถ้านางสมพรฯมิได้มีเจตนาแอบแฝงหรือหวังผลทางการเมือง […]
วันที่ 25 ก.พ. 63 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขานุการทีมวอร์รูมนอกสภา ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า เป็นมวยล้มต้มคนดู โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของขุนพลฝ่ายค้าน ของนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย น่าผิดหวัง ไม่สมดังที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย ให้คำมั่นไว้ ซึ่งไม่ทราบว่าร.ต.อ.เฉลิม ฝีไม้ลายมือหดหายไปไหนหรือมุ่งแต่เอาใจและเป่าหูนายใหญ่ เพื่อแก่งแย่งอำนาจกับเจ้าแม่บางคนในเพื่อไทยอยู่ในเวลานี้หรือไม่ นายสุภรณ์ กล่าวว่า การอภิปรายของฝ่ายค้าน มุ่งกล่าวหารัฐบาลจนเกิดความสับสน นำเสนอข้อมูลเท็จ เป็นการเมืองแบบเก่า ใส่ร้ายป้ายสีจนลืมไปว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาล้วนมาจากรัฐบาลในอดีตที่สร้างความเสียหายให้ประเทศไม่สามารถจะประมาณการได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ในโครงการรับจำนำข้าว หรือการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย เพื่อช่วยเหลือนายใหญ่เพียงคนเดียว ซึ่งการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านนอกจากพลาดเป้าแล้วยังย้อนมาปลิดชีพตัวเอง จาก “ยุทธการอรุณรุ่งริ่ง” “อรุณร่วง” และ “ขุดโกง-นิรโทษกรรมตอกกลับฝ่ายค้าน” ตามที่สื่อหลายสำนักพาดหัวข่าว